ตกพุ่มหม้าย (ค.ศ. 1927 - 1938) ของ สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย

ค.ศ. 1927 - 1930

สมเด็จพระราชินีมารี พร้อมกับเจ้าหญิงเฮเลนและพระเจ้าไมเคิล ในช่วงปี ค.ศ. 1927 – 1930

เจ้าชายคาโรลทรงทำให้เกิดวิกฤตราชวงศ์โรมาเนียขึ้นโดยทรงประกาศสละสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเฟอร์ดินานด์อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1926 พร้อมกับทรงสละสิทธิในการเป็นผู้ปกครองของเจ้าชายไมเคิล ซึ่งได้รับการประกาศเป็นองค์รัชทายาทแทน พระราชบัญญัติผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ผ่านสภา และได้จัดตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินซึ่งประกอบด้วย เจ้าชายนิโคลัส, อัครบิดรแห่งโรมาเนีย มิรอน คริสทีและจีออร์เก บุซดูกาน ประธานศาลยุติธรรมสูงสุด[138] อย่างไรก็ตามทั้งพระนางมารีและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ก็ไม่ทรงเต็มพระทัยที่เสด็จออกไปโดยปล่อยให้ประเทศอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระนัดดา ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา แม้ว่าจะทรงได้รับการดูแลจากคณะผู้สำเร็จราชการ เนื่องจากทรงกลัวว่าดินแดนที่ได้รับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะถูกอ้างสิทธิโดยประเทศเพื่อนบ้านและความผันผวนทางการเมืองอาจจะนไปสู่ความไม่สงบได้ อย่างไรก็ตามเมื่อพระนางมารีเสด็จกลับมาจากอเมริกา พระชนม์ชีพของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ดูเหมือนใกล้จะดับสิ้นลง พระองค์ทรงประชวรอย่างทุกข์ทรมานด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และในเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ทรงใกล้จะสวรรคตโดยทรงรับพิธีกรรมสุดท้ายของคริสตจักรโรมันคาทอลิก พระองค์สวรรคตในวันที่ 20 กรกฎาคม ภายในอ้อมพระพาหาของพระนางมารี พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า " 'ฉันเหนื่อยเหลือเกิน' นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดและเมื่อเขาเอนตัวลงนอนอย่างเงียบสงบภายในอ้อมแขนของฉัน หนึ่งชั่วโมงต่อมาฉันรู้ว่าอย่างน้อยฉันต้องขอบคุณพระเจ้าเพื่อเขา นี่เป็นการพักผ่อนอย่างสงบที่แท้จริง"[139]

เจ้าชายไมเคิลทรงสืบราชบัลลังก์ต่อโดยอัตโนมัติหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ และสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้เข้ามารับบทบาทของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1928 เจ้าชายคาโรลทรงพบว่าพระชนม์ชีพของพระองค์ในต่างประเทศกับแม็กดา ลูเปสคูเป็นที่ไม่น่าพอพระทัย[137] ทรงพยายามหาหนทางเสด็จกลับมายังโรมาเนียด้วยความช่วยเหลือของไวส์เคานท์โรเทอร์แมร์ที่ 1 พระองค์ทรงถูกสั่งห้ามทำเช่นนั้นโดยผู้มีอำนาจในอังกฤษ ซึ่งได้ดำเนินการขับไล่พระองค์ออกจากอังกฤษ ด้วยความพิโรธอย่างมาก พระนางมารีทรงส่งคำขอโทษอย่างเป็นทางการแก่พระเจ้าจอร์จที่ 5 ในนามของพระโอรสของพระนาง ซึ่งพระโอรสได้เริ่มต้นวางแผนการก่อรัฐประหาร[140] เจ้าชายคาโรลทรงประสบความสำเร็จในการหย่าขาดจากเจ้าหญิงเฮเลนในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1928 ด้วยฐานจากการที่ไม่ทรงลงรอยกัน[141]

ความนิยมในพระนางมารีได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในรัชสมัยของพระเจ้าไมเคิลและหลังจากที่ทรงปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในปี ค.ศ. 1929 พระนางทรงถูกกล่าวหาโดยสื่อและแม้กระทั่งเจ้าหญิงเฮเลนว่าทรงวางแผนก่อรัฐประหาร[142] ในช่วงนี้ มีข่าวลือเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงอีเลียนา หลังจากที่มีการพูดคุยถึงการที่จะให้เจ้าหญิงอีเลียนาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าซาร์แห่งบัลแกเรียหรือเจ้าชายแห่งอัสตูเรียส[143] และในที่สุดเจ้าหญิงก็ทรงหมั้นกับอเล็กซานเดอร์ เคานท์แห่งโฮชเบิร์ก ราชนิกุลเยอรมันสายรองในต้นปี ค.ศ. 1930[144] แต่การหมั้นครั้งนี้อายุสั้น พระนางมารีไม่ทรงสามารถจัดการอภิเษกสมรสทางการเมืองของพระธิดาองค์เล็กได้ ซึ่งเจ้าหญิงต้องทรงอภิเษกสมรสกับอาร์คดยุกแอนตันแห่งออสเตรีย-ทัสคานี จากอิตาลีแทนในปี ค.ศ. 1931[143]

รัชสมัยพระเจ้าคาโรล

สมเด็จพระราชินีมารีในปี ค.ศ. 1936 วาดโดยฟิลิป เดอ ลาสโล

ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1930 เจ้าชายคาโรลได้เสด็จถึงบูคาเรสต์และเสด็จไปยังรัฐสภา ที่ซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ค.ศ. 1927 ได้ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ ดังนั้น เจ้าชายคาโรลจึงช่วงชิงราชบัลลังก์ของพระโอรส และทรงครองราชย์เป็น พระเจ้าคาโรลที่ 2 เมื่อทรงได้ทราบข่างการกลับมาของพระเจ้าคาโรล พระนางมารีผู้ทรงประทับอยู่ต่างประเทศก็ทรงโล่งพระทัย พระนางทรงมีความกังวลกับทิศทางที่ประเทศกำลังมุ่งไปมากและทรงมองการกลับมาของพระเจ้าคาโรลว่าเป็น การกลับมาของบุตรชายผู้ล้างผลาญ (Return of the Prodigal Son) แต่ทันทีที่พระนางเสด็จกลับบูคาเรสต์ พระนางก็ทรงเริ่มตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นไปไม่ได้ด้วยดี พระเจ้าคาโรลทรงปฏิเสธคำแนะนำของพระนางมารีที่ให้รับเจ้าหญิงเฮเลนกลับมา[142] และไม่ทรงเคยของคำปรึกษาพระนางมารีตลอดรัชสมัยของพระองค์เลย จึงทำให้รอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างพระมารดาและพระโอรสที่มีอยู่แล้วได้แตกหักโดยสมบูรณ์[145]

ด้วยความอ้างว้างและพระนางเกือบจะละทิ้งความเชื่อของพระนาง พระนางมารีทรงหันไปสนพระทัยคำสอนของศาสนาบาไฮ ซึ่งพระนางทรงพบว่า "มีความน่าสนใจอย่างมาก"[146] พระนางมารีทรงเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกที่นับถือบาไฮ[147] พระนางทรงเขียนในเวลาต่อมาว่า[148]

"ศาสนาบาไฮสอนให้นำมาซึ่งความสงบสุขและความเข้าใจ มันเหมือนกับอ้อมกอดกว้างที่รวมผู้คนซึ่งหาความหมายของความหวังมาเป็นเวลานานเข้าด้วยกัน มันยอมรับศาสดาทั้งหลายที่มีมาก่อนหน้านี้ มันไม่ทำลายลัทธิอื่น ๆ และปล่อยให้ประตูทุกบานเปิดออก โชคร้ายจากความขัดแย้งที่มีอย่างต่อเนื่องในหมู่ผู้ศรัทธาในคำสารภาพและความระอาในการถือทิฐิที่มีต่อกันและกัน ฉันได้ค้นพบคำสอนของบาไฮที่สอนถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของพระคริสต์ที่มักจะถูกปฏิเสธและเข้าใจผิด: ความสามัคคีแทนที่ความขัดแย้ง, ความหวังแทนที่การลงทัณฑ์, ความรักแทนที่ความเกลียดชัง และความไว้วางใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน"

ในปี ค.ศ. 1931 เจ้าชายนิโคลัสทรงหนีตามไปกับเอียนา โดเลทติ ผู้หญิงผู้เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว พระนางมารีไม่ทรงเห็นด้วยกับการกระทำของพระโอรสและทรงรู้สึกเจ็บปวดจากการพยายามเข้าไปเกี่ยวในเรื่องของโดเลทติอย่างซ้ำๆทำให้เจ้าชายนิโคลัสทรงหลีกเลี่ยงที่จะติดต่อกับพระมารดา แม้ว่าพระนางจะทรงตำหนิผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของพระโอรส ในขณะเดียวกันพระนางก็ทรงตำหนิตัวพระนางเองด้วยในการที่ทรงล้มเหลวจากการพยายามทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง แต่พระนางก็ทรงดื้อดึงและปฏิเสธที่จะพบกับแม็กดา ลูเปสคู แม้ว่าพระเจ้าคาโรลจะทรงอ้อนวอนก็ตาม จนกระทั่งในปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระนางก็แทบจะไม่กล่าวถึงชื่อของลูเปสคูเลย[149]

ด้วยทั้งประเทศเกลียดชังพระสนมในพระเจ้าคาโรล มันเป็นช่วงก่อนที่ฝ่ายปฏิปักษ์ของพระมหากษัตริย์จะเกิดขึ้น ฝ่ายปฏิปักษ์นี้ที่โดดเด่นที่สุดคือมาจากกลุ่มไอออนการ์ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากเบนิโต มุสโสลินีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หลังจากที่พระเจ้าคาโรลทรงหันมาขอให้นายกรัฐมนตรีเอียน ดูคาช่วยเหลือ กลุ่มไอออนการ์ดได้ลอบสังหารดูคาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1933[149] หลังจากการอสัญกรรมของดูคา ความนิยมในพระเจ้าคาโรลได้ลดลงและได้มีข่าวลือว่าจะมีความพยายามลอบปลงพระชนม์พระองค์ในพิธีสวนสนามอิสรภาพประจำปี เพื่อทรงหลีกเลี่ยงการนี้ พระองค์จึงให้พระนางมารีเสด็จแทนพระองค์ในพิธีสวนสนามนี้ และครั้งนี้จะเป็นการปรากฏพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายของพระนางมารี[150]

หลังจากพิธีสวนสนามผ่านไป พระเจ้าคาโรลทรงพยายามทำลายความนิยมในตัวพระมารดาท่ามกลางชาวโรมาเนียและทรงพยายามที่จะผลักดันให้พระนางเสด็จออกจากประเทศ แต่พระนางมารีไม่ทรงยอมทำตาม และทรงเสด็จไปประทับที่ชนบททั้งสองแห่งแทน[151] สถานที่แรกคือปราสาทบราน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองบราซอฟในทรานซิลเวเนียใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้มอบให้พระนางเป็นของกำนัลไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 และพระนางทรงบูรณะสถานที่ในอีกเจ็ดปีต่อมา[152] อีกสถานที่หนึ่งคือบอลชิค ที่ซึ่งพระนางทรงสร้างพระราชวังบอลชิคและโบสถ์เล็ก ๆ ที่เรียกว่า Stella Maris และทรงตกแต่งสวนของพระนาง พระนางยังทรงเสด็จเยี่ยมเจ้าหญิงอีเลียนาและพระโอรสธิดาของเจ้าหญิงในออสเตรีย เจ้าหญิงอีเลียนาไม่ค่อยทรงได้รับอนุญาตจากพระเจ้าคาโรลให้เสด็จเยือนโรมาเนีย สิ่งนี้ทำให้พระนางมารีทรงขุ่นเคืองพระทัยมาก พระนางยังทรงเสด็จไปยังเบลเกรดโดยทรงใช้เวลากับพระธิดา "เจ้าหญิงมิกนอน" และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ พระชามาดา ในปี ค.ศ. 1934 พระนางมารีเสด็จเยือนอังกฤษอีกครั้ง[151] ทรงพบกับดัชเชสแห่งยอร์ก ผู้ซึ่งทำให้พระนางทรงปลื้มปิติมาก[153]

ประชวรและสิ้นพระชนม์

หลุมพระศพของพระนางมารีที่มหาวิหารเคอร์เทียเดออาร์ก

ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1937 พระนางมารีทรงพระประชวร[21] แพทย์ประจำพระองค์คือ นายแพทย์คัสเตลานี ได้วินิจฉัยว่าพระนางทรงเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนแม้ว่าการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการจะระบุว่าทรงเป็นโรคตับแข็ง พระนางมารีไม่ใช่นักดื่มและเมื่อทรงได้ยินข่าว พระนางทรงรายงานว่า "มันต้องเป็นโรคตับแข็งที่ไม่มีแอลกอฮอล์แน่ ๆ เพราะตลอดทั้งชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยลิ้มรสแอลกอฮอล์เลยนะ"[154] พระนางได้ถูกแนะนำให้งดเสวยพระกระยาหารที่เย็นจัด และรับการฉีดยาและบรรทมพักผ่อน ในช่วงนั้นพระนางมารีทรงมีพระวรกายที่อ่อนแอมากจนพระนางไม่ทรงสามารถแม้แต่จับปากกาได้เลย ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1938 พระนางถูกส่งไปยังโรงพยาบาลในอิตาลี ด้วยหวังว่าพระวรกายจะได้รับการฟื้นฟู ที่นั่นเจ้าชายนิโคลัสและพระชายาของเจ้าชายได้เสด็จเยี่ยมพระนางมารี ซึ่งในที่สุดแล้วพระนางมารีทรงให้อภัยในการกระทำผิดของพระสุณิสา นอกจากนี้ เจ้าหญิงเฮเลน ผู้ซึ่งพระนางไม่ทรงเคยพบอีกเลยตลอดระยะเวลา 7 ปี ได้เสด็จมาเยี่ยมพระนาง รวมทั้งวัลดอร์ฟ อัสเตอร์ด้วย ในที่สุดพระนางมารีทรงถูกย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลในเดรสเดิน ด้วยพระอาการทรุดลงเรื่อย ๆ พระนางมารีทรงขอเสด็จกลับโรมาเนียเพื่อที่จะได้สิ้นพระชนม์ที่นั่น พระเจ้าคาโรลปฏิเสธที่จะให้พระนางเสด็จโดยเครื่องบิน[155] และพระนางทรงปฏิเสธบริการทางการแพทย์อากาศที่ฮิตเลอร์ได้ทูลเสนอให้[156] โดยทรงเลือกเสด็จกลับโรมาเนียโดยรถไฟแทน พระนางทรงเข้าประทับที่ปราสาทเปลิซอร์[155][note 5]

พระนางมารีสิ้นพระชนม์ในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1938 เวลา 17.38 น. เป็นเวลาแปดนาทีหลังจากพระอาการอยู่ในช่วงโคม่า[157] พระโอรสธิดาองค์โต คือ พระเจ้าคาโรลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พร้อมกับเจ้าชายไมเคิล ทรงอยู่กับพระนางในช่วงวาระสุดท้าย[155] สองวันถัดมา ในวันที่ 20 กรกฎาคม พระศพของพระนางมารีได้ถูกนำมาที่บูคาเรสต์ ซึ่งมาประกอบพิธีตั้งพระศพที่ห้องรับแขกสีขาวในพระราชวังโคโทรเซนี โลงพระศพของพระนางได้ล้อมรอบด้วยดอกไม้และเทียนแสงแวววาวและได้รับการรักษาโดยทหารจากกองทหารม้าฮุสซาร์ ผู้คนหลายพันคนเข้าแถวล้อมรอบพระศพของพระนางมารีในช่วงเวลาสามวันของพิธีตั้งพระศพ ในวันที่สาม พระราชวังได้เปิดให้กรรมกรโรงงานเข้ามาร่วมพิธี ขบวนพระศพของพระนางมารีได้ไปยังสถานีรถไฟโดยผ่านประตูชัยโรมาเนีย พระศพของพระนางได้ถูกนำไปยังมหาวิหารเคอร์เทียเดออาร์ก ที่ซึ่งทรงถูกฝังที่นั่น พระหทัยของพระนางมารีถูกวางลงในตลับสีทองประดับด้วยสัญลักษณ์ของมณฑลโรมาเนียและฝังอยู่ที่โบสถ์ Stella Maris ในบอลชิคตามพระราชประสงค์ของพระนาง ในปี ค.ศ. 1940 หลังจากมณฑลโดบรูจาใต้ถูกผนวกเข้ากับบัลแกเรียในสนธิสัญญาคราเอียวาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระหทัยของพระนางได้ถูกย้ายมาที่ปราสาทบราน[158] ที่ซึ่งเจ้าหญิงอีเลียนาทรงสร้างโบสถ์เพื่อเป็นที่บรรจุพระหทัยและถูกเก็บไว้ในกล่องสองกล่องที่ซ้อนกันอยู่ภายในโลงหินอ่อน[159]

พระนางมารีทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งโรมาเนียพระองค์สุดท้าย โดยเจ้าหญิงเฮเลนทรงได้รับพระอิสริยยศ "สมเด็จพระราชชนนี" เท่านั้นในระหว่างปีค.ศ. 1940 ถึงค.ศ. 1947 พระนางทรงเป็นหนึ่งในห้าพระราชนัดดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียที่ได้สวมมงกุฎและทรงเป็นหนึ่งในสามที่สามารถรักษาพระอิสริยยศในฐานะสมเด็จพระราชินีได้หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยกันกับสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์และสมเด็จพระราชินีแห่งสเปน

ใกล้เคียง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

แหล่งที่มา

WikiPedia: สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย http://www.bran-castle.com/royal-residence.html http://www.britishpathe.com/record.php?id=18985 http://www.britishpathe.com/record.php?id=20502 http://www.britishpathe.com/record.php?id=2697 http://www.britishpathe.com/record.php?id=3733 http://www.britishpathe.com/record.php?id=3737 http://www.britishpathe.com/record.php?id=7179 http://www.britishpathe.com/record.php?id=76568 http://www.britishpathe.com/record.php?id=79132 http://www.dvoreca.com/index.php?lang=EN